4

พญามารคือใคร?

ประวัติพญามาร

มารที่มาผจญพระพุทธเจ้าในคราวออกผนวช และก่อนตรัสรู้  ซึ่งมีนามว่า พญามารวสวัตตีมาร เป็นเทวปุตตมาร ดังมีประวัติความเป็นมาดังนี้ (นักปราชญ์บางท่านตั้งข้อสังเกตว่า มารที่มาผจญพระพุทธเจ้า 2 ครั้งนี้ น่าจะหมายถึงกิเลสมาร)

จักขอกล่าวถึงบรมโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง ซึ่งขณะนี้ประทับอยู่ ณ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีภาคหมู่มาร พระบรมโพธิสัตว์พระองค์นั้น ก็คือพญาเจ้าฟ้าแห่งหมู่มารนั่นเอง สังเขปประวัติการสั่งสมพระบารมี
เพื่อพระปรมาภิกเษกสัมโพธิญาณของท่านพญาเจ้าฟ้าหมู่มารนั้น  ปรากฏมีในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้
พญาวสวัตตีมาราธิราช ซึ่งบัดนี้เป็นประธานาธิบดียิ่งใหญ่ในภาคหมู่มาร  แห่งปรนิมมิตวสวัตตีสรรค์นี้ (สวรรค์ชั้นสูงสุดคือชั้นที่ 6) เป็นพระโพธิสัตว์ได้ทรงก่อสร้างพระบารมีเช่นทานศีลเป็นอาทิมามากต่อมาก  แต่กองพระบารมีอันหนึ่ง ซึ่งปรากฏยอดเยี่ยมกว่าพระบารมีทั้งหลายเรียกว่าปรมัตถบารมีควรที่จะยังพุทธสมบัติให้สำเร็จ ก็คือพระบารมีที่สร้างแต่ครั้งอดีตกาลนับเป็นอสงไขย  (กล่าวคือใน) สมัยที่สมเด็จพระพุทธกัสสปะทศพลญาณบรมโลกุตมาจารย์ทรงอุบัติขึ้นในโลก  พญามาราธิราชผู้นี้เกิดเป็นมนุษย์ มีนามว่า โพธิอำมาตย์ ดำรงตำแหน่งอรรคมหาเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช  เป็นที่โปรดปรานไว้วางพระราชหฤทัยหนักหนา

กาลวันหนึ่งพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช ผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา  ได้ทรงทราบว่าสมเด็จพระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า ทรงเข้านิโรธสมาบัติ  เสวยวิมุตติสุขอยู่คำรบ ๗ วัน ณ ภายใต้ต้นไทรใหญ่  และใกล้จะออกจากนิโรธอยู่แล้ว จึงทรงพระราชดำริว่า  “พระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงส์ผลบุญมหาศาลล้ำเลิศ

บัดนี้เราจักถวายท่านแด่พระองค์” แล้วจึงทรงให้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า“ถ้าบุคคลผู้ใด ลอบไปถวายทานแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราแล้ว เราจักให้ลงอาญาแก่ผู้นั้น”  แล้วตรัสสั่งให้ตั้งกองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่บริเวณพระวิหารไว้อย่างกวดขัน  หากผู้ใดล่วงละเมิดพระราชกฤษฎีกาแล้ว ก็ให้จับตัวไปประหารชีวิตเสีย

ท่านโพธิอำมาตย์ แม้ได้ทราบพระราชกฤษฎีกาก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า  ที่จะถวายทานแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาค มิได้อาลัยในชีวิต  พอรุ่งเช้าจึงถือเครื่องไทยทานของตนกับภรรยารวมเป็น  2 ห่อ ตรงไปยังวิหาร พวกรักษาการณ์เห็นเช่นนี้ จึงถามด้วยความคารวะว่า “ข้าแต่ท่านเสนาบดี ! เหตุใดท่านจึงฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาที่ทรงห้ามไว้”  ท่านอำมาตย์ได้ฟังแล้วดำริว่า“ถ้าเราจักบอกแก่เจ้าพวกนี้  ด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จว่าพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งใช้ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าไปในวังก็จะได้อยู่ แต่ทว่าหาควรที่เราจะกล่าวคำมุสาวาทไม่

เมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแก่องค์พระโลกนาถเจ้า แต่กล่าวคำมุสาวาทแล้ว  ทานของเราก็จักมีผลไม่ยิ่งใหญ่ ควรที่เราจะบอกตามความเป็นจริง  แม้จักตายก็ตามทีเถิด เราหาอาลัยชีวิตไม่” แล้วจึงบอกไปว่า  “เราจะเข้าไปถวายทานแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า” พวกทหารจึงจับท่านเสนาบดีมัดมือไพล่หลังนำไปถวายพระราชาเพื่อให้ทรงพิจารณาโทษ พระราชาทรงพระพิโรธเป็นอันมาก รับสั่งให้นำตัวไปตัดศีรษะประหารชีวิตเสียทันที

สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาแก่โพธิเสนาบดี จึงเนรมิตพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่แทนพระองค์ในพระวิหารใหญ่  ส่วนพระองค์เสด็จปาฏิหาริย์ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ประหารท่านเสนาบดี  ไม่มีผู้ใดเห็น จะเห็นได้แต่เฉพาะเสนาบดีผู้เดียว แล้วมีพระพุทธฎีกาว่า“ดูกรโพธิเสนาบดี ! ท่านจงมีศรัทธา  อย่าได้อาลัยในชีวิต อันเครื่องไทยทานของท่านมีประการใด  ท่านจงกระทำจิตให้เลื่อมใสในตถาคตเถิด”

โพธิเสนาบดีได้สดับพระพุทธฎีกาแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจ  จึงนำห่อภัตตาหารทั้งของตนกับภรรยาอัญชลีน้อมเกล้าเข้าถวายแด่องค์พระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า  โดยคารวะเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงตั้งปณิธานว่า“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง! ชีวิตของข้าพระบาทก็ได้สละแล้วในครั้งนี้ ด้วยเดชะผลทานนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาทได้ตรัส(รู้)เป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ ในอนาคตกาลโน้นเถิด”

สมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณายกพระหัตถ์ขึ้นลูบศีรษะท่านเสนาบดี แล้วทรพยากรณ์ว่า “ท่านปรารถนาสิ่งใด ความปรารถนาของท่านจงพลันสำเร็จเถิด…..ดูกรท่านเสนาบดี ! ท่านจงตั้งมั่นไว้ในใจด้วยดีเถิด ในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจักได้อุบัติเกิดเป็พระพุทธเจ้า ได้ตรัส(รู้)แก่พระปรมาภิกเษกสัมโพธิญาณพระองค์หนึ่ง” เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารช้านานนักหนา มาในชาตินี้บังเกิดเป็นเจ้าแห่งหมู่มาร(มีอายุเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี) ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีด้วยอำนาจบุญนำกรรมแต่ง (แต่)เพราะยังอยู่ในห้วงแห่งกิเลสเหตุยังเป็นปุถุชน จึงเกิดความเห็นสับสนวิปริต มีจิตคิดแข่งดีใคร่ทดลองบารมีสมเด็จพระบรมศาสดาสมณโคดมของเรา  เฝ้าตามประจญด้วยประการต่างๆ แต่มิได้ล่วงเกินทำบาปหนักประการใด สุดท้ายภายหลังมีความเศร้าเสียใจอย่างหนัก ถึงกับออกปากเอ่ยความปรารถนาพุทธภูมิซ้ำอีกครั้งหนึ่ง.

(จากหนังสือโลกทีปนี รจนาโดยท่านเจ้าคุณพระเทพมุนี(วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดดอน และเจ้าคณะเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร)

คัดลอกจากเรื่องเล่าของ ยรรยง สินธุ์งาม

ในสวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวัตดี  เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6 ชั้นสูงสุด  ปรนิมมิตวสวัตดี แปลว่า เทวดาผู้เป็นอิสระ  เป็นผู้ควบคุมการเนรมิตรของผู้อื่น หรือจะเนรมิตร เองก็ได้  สวรรค์ชั้นนี้ ประเสริฐสุขกว่าทุกชั้น ที่สำคัญสวรรค์ชั้นนี้ มีผู้เป็นใหญ่ 2 องค์ คือ ท้าวปรนิมิตวสวัตตีเทวราช เป็นใหญ่ฝ่ายเทพยดา และพระยามาราธิราช เป็นใหญ่ฝ่ายมาร  เป็นสวรรค์ชั้นเดียวที่ เป็นที่อยู่ ของเทวบุตร และ เทวมาร และพระยามารที่จะกล่าวถึง ก็คือ เทพบดี ฝ่ายเทวมาร คือ พระยามาราธิราช นี่แหละ ที่บรรดาผู้ที่จะกระทำความดีใดๆ ก็มักจะกล่าวอ้าง เมื่อตนทำอะไรแล้ว ไม่สำเร็จ ว่า เป็นเพราะ มาร มาผจญ ผู้ที่จะทำสมาธิ ก็กล่าวอ้าง ให้ระวัง “มาร” เข้าแทรก

คำพูดที่กล่าวมาในทำนองนี้ ฟังแล้ว ดูจะไม่สมเหตุสมผล จึงได้ค้น เรื่อง พระยามาร  บางทีก็เขียนเป็น พญามาร ซึ่งมีข้อมูลเบื้องต้น ดังจะเสนอต่อไปนี้

1. พระยามาร เป็นเทพบดี ฝ่ายเทวมาร อยู่บนสวรรค์ ชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตดี  มีชื่อว่า พระสหัสพาหุ หรือ พระวสวัตตีมาร  หรือ พระยามาราธิราช ที่เรียกกันทั่วไปว่า พระยามาร
บนสวรรค์เรียกท่านว่า ท้าวมาลัย
2. เคยห้ามเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช

169836

 พระยามารปรากฎกายเพื่อห้ามเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช  ภาพโดย ครูเหม เวชกร

 3. เคยส่ง ธิดาพระยามาร มาขัดขวาง พระพุทธเจ้าเมื่อครั้นอดีต

169840

ธิดาพญามาร มาร่ายรำ ยั่วยวน พระพุทธเจ้า    ภาพโดย ครูเหม  เวชกร

 4. ตัวเองได้ยกพลเต็มอัตราศึก เพื่อมาขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของ พระพุทธเจ้า การมาครั้งนั้น เป็นศึกที่ต้องจารึก ในประวัติศาสตร์ จนได้เกิด พระปางมารวิชัย หรือ ปางสะดุ้งมาร ที่เป็นรูปพระพุทธเจ้านั่งสมาธิมี มือข้างขวา วางอยู่ที่เข่าขวา

169842

กองทัพพระยามาร มุ่งเข้าทำร้าย พระพุทธเจ้า       ภาพโดย ครูเหม เวชกร

        ในที่สุดพระยามาร ก็ขอยอมแพ้ และได้กล่าวคำว่า “นโม” เป็นครั้งแรก ซึ่ง แปลว่า “ขอนอบน้อม” หรือ “ยอมแล้ว” พระยามาร ยอมรับการมาก่อนของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง และต่อมาเมื่อได้สนทนาธรรม ยิ่งเกิดความเลื่อมใส จนได้ขออนุญาต เพื่อบำเพ็ญเพียรเป็น พระพุทธเจ้า  ต่อไปในอนาคต.

6

บารมี10

ในเหตุการณ์การผจญของพระพุทธเจ้านี้ ถือว่าเป็นพุทธจริยาที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่างสำหรับนักเรียนอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้ความเพียรวิริยะอุตสาหะความอดทน  การสั่งสมความดี  และการใช้ความรอบคอบมีเหตุผล  ที่จะต่อสู้กับพญามารคือ  กิเลส  ซึ่งได้แก่  ความสุขสบาย  ความโลภ  ความโกรธ  ความหลงและความริษยาต่างๆ  เป็นต้น พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญความดี คือ  บารมี 10 ประการ(หรือ บารมี 10 ทัศ) มาอย่างต่อเนื่อง  จึงสามารถชนะอุปสรรคที่คอยขัดขวางไปได้

บารมี 10 ทัศ

บารมี แปลว่า “เต็ม” ซึ่งหมายถึง “การทำให้กำลังใจเต็ม ทรงอยู่ในใจให้เต็มครบถ้วนบริบูรณ์
ไม่บกพร่องทั้ง ๑๐ ประการ”

1.ทานบารมี   จิตพร้อมในการให้ทานเป็นปกติ
2.ศีลบารมี     จิตพร้อมในการทรงศีลเป็นปกติ
3.เนกขัมมะบารมี   จิตพร้อมในการถือบวชเป็นปกติ ในที่นี้หมายถึงบวชใจ
4.ปัญญาบารมี       จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหารอุปาทานให้พังพินาศไป
5.วิริยะบารมี          มีความเพียรในทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
6.ขันติบารมี          มีความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งอันเป็นปฏิปักษ์
7.สัจจะบารมี   ทรงตัวไว้ว่าเราจะทำจริงทุกอย่างในด้านของการทำความดี ไม่มีคำไม่จริงสำหรับใจเรา
8.อธิษฐานบารมี   ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
9.เมตตาบารมี      สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
10อุเบกขาบารมี   การวางเฉยในกาย เมื่อมันไม่ทรงตัว

บารมีในขั้นต้นกระทำด้วยจิตอย่างอ่อนเป็นขั้นพระบารมี เมื่อจิตดำรงบารมีขั้นกลางได้ เรียกว่า พระอุปบารมี และเมื่อจิตดำรงบารมีขึ้นไปถึงที่สุดเลย เรียกว่าพระปรมัตถบารมี หรือบารมี 30 ทัศ หรือมีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสมติงสบารมี หมายถึง พระบารมีสามสิบถ้วน ซึ่งเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีชื่อว่า พุทธกรณธรรม เป็นธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้่า พระโพธิสัตว์ที่ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญธรรมหมวดนี้ หรือมีชื่อหนึ่งเรียกว่าโพธิปริปาจนธรรม คือธรรมสำหรับพระพุทธภูมิ หรือชาวพุทธเราทั่วไปเรียกว่า พระบารมี หมายถึง ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งโน้น คือ พระนิพพาน

  • ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ
  • ศีล เรามีก็ตัดความโกรธ
  • เนกขัมมะ เป็นการตัดอารมณ์ของกามคุณ
  • ปัญญา ตัดความโง่
  • วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
  • ขันติ ตัดความไม่รู้จักอดทน
  • สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
  • อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์
  • เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
  • อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเรา

บารมีจัดเป็น 3 ชั้น คือ

  1. บารมีต้น ในขั้นเต็ม การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล 8 และจะยังไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน ศีลบกพร่อง ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์
  2. อุปบารมี เป็นบารมีขั้นกลาง พร้อมที่ทรงฌานโลกีย์ จะพอใจการเจริญพระกรรมฐาน และทรงฌาน แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ยังไม่พร้อมที่จะไปและไม่พร้อมที่จะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ
  3. ปรมัตถบารมี ในอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อย อาศัยบารมีเก่า ก็มีความต้องการพระนิพพาน จะไปได้หรือไม่ได้ในชาตินี้นั้นไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานจริง ๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ
0

บทวิเคราะห์

มารคืออะไร

มาร 5 (สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุผลสำเร็จอันดีงาม — the Evil One; the Tempter; the Destroyer)

1. กิเลสมาร (มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวางความดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต  — the Mara of defilement)

2. ขันธมาร (มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ 5 เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร   ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิเป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่  หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง  — the Mara of the aggregates)

3. อภิสังขารมาร (มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร  เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติ ชรา เป็นต้น  ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังขารทุกข์ — the Mara of Karma-formations)

4. เทวปุตตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่kมาร  เพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้  มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่กล้าเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้ — the Mara as deity)

5. มัจจุมาร (มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาสที่จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย — the Mara as death)

คัดมาจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์    (ป.อ. ปยุตฺโต)

0

ผจญธิดามาร

เมื่อเหล่ามารได้พ่ายแพ้ไปแล้ว พญามารมีความเศร้าโศกเสียใจที่ไม่สามารถเอาชนะพระพุทธเจ้าได้ จึงนั่งเป็นทุกข์อยู่ จึงได้คิดหาวิธีการใหม่ ที่จะเอาชนะพระพุทธองค์ให้ได้ก่อนที่จะตรัสรู้เมื่อเห็นว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ผลจึงได้ลองใช้ไม้อ่อนบ้าง แล้วจึงส่งลูกสาวมาร (ธิดามาร) 3 คน  ได้แก่ นางตัณหา  นางอรดี และนางราคา มายั่วยวน

images (4)

นางทั้ง 3 ได้มาอาสาที่จะนำพระพุทธเจ้ามาอยู่ในอำนาจให้ได้ แล้วก็เข้าไปที่โคนต้นอชปาลนิโครธที่ประทับ ทั้ง 3 นาง โดยแสดงเป็นสตรีเพศอยู่ในวัยต่างๆโดยคิดว่าบุรุษเพศย่อมชอบ ย่อมมีรสนิยมในสตรีเพศต่างวัยกัน จึงได้มาแสดงเป็นสตรีเพศวัยรุ่นบ้าง วัยกลางคนบ้าง เป็นวัยแม่ลูกอ่อนบ้าง หมายมั่นที่จะให้พระองค์พอพระทัย แต่พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงพระวาจาประกาศความเป็นผู้สิ้นกิเลส ไม่ข้องแวะด้วยตัณหา ราคะและอรดี ทั้งมวลไม่ทรงสนพระทัยแม้แต่น้อยธิดามารทั้ง 3 ก็พ่ายแพ้ไปอีก จึงเป็นอันพระองค์ทรงชนะมารโดยเด็ดขาด

2

ผจญพญามาร

ในวันที่พระพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะทรงตรัสรู้นั้น ได้ประทับนั่งบนบัลลังก์หญ้าคา ที่โสตถิยะพราหมณ์ถวายใต้ต้นมหาโพธิ์นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า “แม้เลือดเนื้อในสรีระทั้งสิ้นจะเหือดแห้งไป เหลือแต่เอ็นกระดูกเท่านั้นก็ตามที เรายังไม่บรรลุสัมธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้” ดังนี้ ต่อจากนั้นจึงได้ประทับนั่งและทรงเริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิต

1208085290         ขณะนั้นเป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน จอมมารที่ชื่อว่า วสวัตตี ที่คอยขัดขวางการทำความดีของพระองค์ตลอดมาเมื่อทราบว่าพระดำริปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์เช่นนั้น ก็เกิดหวั่นเกรงว่า หากปล่อยให้บรรลุความสำเร็จตามปณิธานแล้ว พระองค์ก็จะพ้นอำนาจของตนไป จึงได้ระดมพลเสนามารทั้งหลายมาผจญเพื่อขับไล่ด้วยวิธีที่น่ากลัวต่างๆเช่น บันดาลให้พายุพัดรุนแรง บันดาลฝนให้ตกหนัก บันดาลให้ปรากฏเป็นอาวุธต่างระดมยิงเข้าไปเพื่อให้ตกต้องพระองค์แต่ว่าพระองค์ได้ทรงระลึกถึงความดีที่ได้ทรงบำเพ็ญมา ที่เรียกว่า พระบารมี 10 ประการ จึงทรงมีพระทัยมั่นคง ไม่หวาดกลัวต่ออำนาจมารที่มาแสดงด้วยประการต่างๆ นั้นและยิ่งกว่านั้น กลับกลายเป็นเครื่องสักการบูชาพระองค์ไปหมดสิ้นพญามารได้แสดงทุรวาจาให้พระองค์ลุกหนีออกไปเสีย โดยแสดงว่าบัลลังก์ที่ประทับนั้นเป็นของพญามารเอง เพราะพญามารก็ได้บำเพ็ญบารมีต่างๆมามากมายโดยอ้างเสนามารทั้งหลายเป็นพยาน เสนามารเหล่านั้นก็ร้องกึกก้องสนับสนุนเป็นเสียงเดียวกัน

images (1)

ในเวลานั้นพระโพธิสัตว์ไม่มีเสนาหรือใครอื่นที่จะอ้างมาเป็นพยาน จึงได้ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาชี้ลงไปที่แม่พระธรณีเป็นพยานเพระได้ทรงบำเพ็ญทานต่างๆเป็นอันมากและในการให้ทานทุกครั้งก็ได้ทรงหลั่งทักษิโณทก(หยาดน้ำ)ลงบนที่แผ่นดินซึ่งโดย บุคลาธิฏฐานก็เหมือนดังตนลงไปบนมวยผมของแม่พระธรณี เพราะฉะนั้นแม่พระธรณีจึงเท่ากับเป็นพยานในการทรงบริจาคทาน

3027

จึงได้ปรากฏเป็นนางธรณีบีบมวยผม ซึ่งชุ่มด้วยน้ำหลั่งออกมามากมายกลายเป็นทะเลหลวง ท่วมพญามารและเสนาทั้งหลาย ช้างคีรีเมขลาซึ่งพญามารบัญชาการอยู่นั้นก็ฟุบเท้าหน้าทั้งสองลงเป็นการถวายนมัสการพระพุทธองค์ พญามารพร้อมทั้งเสนามารจึงแตกพ่ายถูกน้ำพัดพาไปหมดสิ้นจึงเป็นอันได้ทรงชนะมารก่อนพระอาทิตย์อัสดง และก็พอดีเป็นเวลาพบค่ำ จึงได้เริ่มบำเพ็ญความเพียรต่อไป