4

พญามารคือใคร?

ประวัติพญามาร

มารที่มาผจญพระพุทธเจ้าในคราวออกผนวช และก่อนตรัสรู้  ซึ่งมีนามว่า พญามารวสวัตตีมาร เป็นเทวปุตตมาร ดังมีประวัติความเป็นมาดังนี้ (นักปราชญ์บางท่านตั้งข้อสังเกตว่า มารที่มาผจญพระพุทธเจ้า 2 ครั้งนี้ น่าจะหมายถึงกิเลสมาร)

จักขอกล่าวถึงบรมโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง ซึ่งขณะนี้ประทับอยู่ ณ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีภาคหมู่มาร พระบรมโพธิสัตว์พระองค์นั้น ก็คือพญาเจ้าฟ้าแห่งหมู่มารนั่นเอง สังเขปประวัติการสั่งสมพระบารมี
เพื่อพระปรมาภิกเษกสัมโพธิญาณของท่านพญาเจ้าฟ้าหมู่มารนั้น  ปรากฏมีในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้
พญาวสวัตตีมาราธิราช ซึ่งบัดนี้เป็นประธานาธิบดียิ่งใหญ่ในภาคหมู่มาร  แห่งปรนิมมิตวสวัตตีสรรค์นี้ (สวรรค์ชั้นสูงสุดคือชั้นที่ 6) เป็นพระโพธิสัตว์ได้ทรงก่อสร้างพระบารมีเช่นทานศีลเป็นอาทิมามากต่อมาก  แต่กองพระบารมีอันหนึ่ง ซึ่งปรากฏยอดเยี่ยมกว่าพระบารมีทั้งหลายเรียกว่าปรมัตถบารมีควรที่จะยังพุทธสมบัติให้สำเร็จ ก็คือพระบารมีที่สร้างแต่ครั้งอดีตกาลนับเป็นอสงไขย  (กล่าวคือใน) สมัยที่สมเด็จพระพุทธกัสสปะทศพลญาณบรมโลกุตมาจารย์ทรงอุบัติขึ้นในโลก  พญามาราธิราชผู้นี้เกิดเป็นมนุษย์ มีนามว่า โพธิอำมาตย์ ดำรงตำแหน่งอรรคมหาเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช  เป็นที่โปรดปรานไว้วางพระราชหฤทัยหนักหนา

กาลวันหนึ่งพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช ผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา  ได้ทรงทราบว่าสมเด็จพระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า ทรงเข้านิโรธสมาบัติ  เสวยวิมุตติสุขอยู่คำรบ ๗ วัน ณ ภายใต้ต้นไทรใหญ่  และใกล้จะออกจากนิโรธอยู่แล้ว จึงทรงพระราชดำริว่า  “พระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงส์ผลบุญมหาศาลล้ำเลิศ

บัดนี้เราจักถวายท่านแด่พระองค์” แล้วจึงทรงให้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า“ถ้าบุคคลผู้ใด ลอบไปถวายทานแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราแล้ว เราจักให้ลงอาญาแก่ผู้นั้น”  แล้วตรัสสั่งให้ตั้งกองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่บริเวณพระวิหารไว้อย่างกวดขัน  หากผู้ใดล่วงละเมิดพระราชกฤษฎีกาแล้ว ก็ให้จับตัวไปประหารชีวิตเสีย

ท่านโพธิอำมาตย์ แม้ได้ทราบพระราชกฤษฎีกาก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า  ที่จะถวายทานแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาค มิได้อาลัยในชีวิต  พอรุ่งเช้าจึงถือเครื่องไทยทานของตนกับภรรยารวมเป็น  2 ห่อ ตรงไปยังวิหาร พวกรักษาการณ์เห็นเช่นนี้ จึงถามด้วยความคารวะว่า “ข้าแต่ท่านเสนาบดี ! เหตุใดท่านจึงฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาที่ทรงห้ามไว้”  ท่านอำมาตย์ได้ฟังแล้วดำริว่า“ถ้าเราจักบอกแก่เจ้าพวกนี้  ด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จว่าพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งใช้ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าไปในวังก็จะได้อยู่ แต่ทว่าหาควรที่เราจะกล่าวคำมุสาวาทไม่

เมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแก่องค์พระโลกนาถเจ้า แต่กล่าวคำมุสาวาทแล้ว  ทานของเราก็จักมีผลไม่ยิ่งใหญ่ ควรที่เราจะบอกตามความเป็นจริง  แม้จักตายก็ตามทีเถิด เราหาอาลัยชีวิตไม่” แล้วจึงบอกไปว่า  “เราจะเข้าไปถวายทานแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า” พวกทหารจึงจับท่านเสนาบดีมัดมือไพล่หลังนำไปถวายพระราชาเพื่อให้ทรงพิจารณาโทษ พระราชาทรงพระพิโรธเป็นอันมาก รับสั่งให้นำตัวไปตัดศีรษะประหารชีวิตเสียทันที

สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาแก่โพธิเสนาบดี จึงเนรมิตพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่แทนพระองค์ในพระวิหารใหญ่  ส่วนพระองค์เสด็จปาฏิหาริย์ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ประหารท่านเสนาบดี  ไม่มีผู้ใดเห็น จะเห็นได้แต่เฉพาะเสนาบดีผู้เดียว แล้วมีพระพุทธฎีกาว่า“ดูกรโพธิเสนาบดี ! ท่านจงมีศรัทธา  อย่าได้อาลัยในชีวิต อันเครื่องไทยทานของท่านมีประการใด  ท่านจงกระทำจิตให้เลื่อมใสในตถาคตเถิด”

โพธิเสนาบดีได้สดับพระพุทธฎีกาแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจ  จึงนำห่อภัตตาหารทั้งของตนกับภรรยาอัญชลีน้อมเกล้าเข้าถวายแด่องค์พระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า  โดยคารวะเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงตั้งปณิธานว่า“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง! ชีวิตของข้าพระบาทก็ได้สละแล้วในครั้งนี้ ด้วยเดชะผลทานนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาทได้ตรัส(รู้)เป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ ในอนาคตกาลโน้นเถิด”

สมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณายกพระหัตถ์ขึ้นลูบศีรษะท่านเสนาบดี แล้วทรพยากรณ์ว่า “ท่านปรารถนาสิ่งใด ความปรารถนาของท่านจงพลันสำเร็จเถิด…..ดูกรท่านเสนาบดี ! ท่านจงตั้งมั่นไว้ในใจด้วยดีเถิด ในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจักได้อุบัติเกิดเป็พระพุทธเจ้า ได้ตรัส(รู้)แก่พระปรมาภิกเษกสัมโพธิญาณพระองค์หนึ่ง” เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารช้านานนักหนา มาในชาตินี้บังเกิดเป็นเจ้าแห่งหมู่มาร(มีอายุเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี) ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีด้วยอำนาจบุญนำกรรมแต่ง (แต่)เพราะยังอยู่ในห้วงแห่งกิเลสเหตุยังเป็นปุถุชน จึงเกิดความเห็นสับสนวิปริต มีจิตคิดแข่งดีใคร่ทดลองบารมีสมเด็จพระบรมศาสดาสมณโคดมของเรา  เฝ้าตามประจญด้วยประการต่างๆ แต่มิได้ล่วงเกินทำบาปหนักประการใด สุดท้ายภายหลังมีความเศร้าเสียใจอย่างหนัก ถึงกับออกปากเอ่ยความปรารถนาพุทธภูมิซ้ำอีกครั้งหนึ่ง.

(จากหนังสือโลกทีปนี รจนาโดยท่านเจ้าคุณพระเทพมุนี(วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดดอน และเจ้าคณะเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร)

คัดลอกจากเรื่องเล่าของ ยรรยง สินธุ์งาม

ในสวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวัตดี  เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6 ชั้นสูงสุด  ปรนิมมิตวสวัตดี แปลว่า เทวดาผู้เป็นอิสระ  เป็นผู้ควบคุมการเนรมิตรของผู้อื่น หรือจะเนรมิตร เองก็ได้  สวรรค์ชั้นนี้ ประเสริฐสุขกว่าทุกชั้น ที่สำคัญสวรรค์ชั้นนี้ มีผู้เป็นใหญ่ 2 องค์ คือ ท้าวปรนิมิตวสวัตตีเทวราช เป็นใหญ่ฝ่ายเทพยดา และพระยามาราธิราช เป็นใหญ่ฝ่ายมาร  เป็นสวรรค์ชั้นเดียวที่ เป็นที่อยู่ ของเทวบุตร และ เทวมาร และพระยามารที่จะกล่าวถึง ก็คือ เทพบดี ฝ่ายเทวมาร คือ พระยามาราธิราช นี่แหละ ที่บรรดาผู้ที่จะกระทำความดีใดๆ ก็มักจะกล่าวอ้าง เมื่อตนทำอะไรแล้ว ไม่สำเร็จ ว่า เป็นเพราะ มาร มาผจญ ผู้ที่จะทำสมาธิ ก็กล่าวอ้าง ให้ระวัง “มาร” เข้าแทรก

คำพูดที่กล่าวมาในทำนองนี้ ฟังแล้ว ดูจะไม่สมเหตุสมผล จึงได้ค้น เรื่อง พระยามาร  บางทีก็เขียนเป็น พญามาร ซึ่งมีข้อมูลเบื้องต้น ดังจะเสนอต่อไปนี้

1. พระยามาร เป็นเทพบดี ฝ่ายเทวมาร อยู่บนสวรรค์ ชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตดี  มีชื่อว่า พระสหัสพาหุ หรือ พระวสวัตตีมาร  หรือ พระยามาราธิราช ที่เรียกกันทั่วไปว่า พระยามาร
บนสวรรค์เรียกท่านว่า ท้าวมาลัย
2. เคยห้ามเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช

169836

 พระยามารปรากฎกายเพื่อห้ามเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช  ภาพโดย ครูเหม เวชกร

 3. เคยส่ง ธิดาพระยามาร มาขัดขวาง พระพุทธเจ้าเมื่อครั้นอดีต

169840

ธิดาพญามาร มาร่ายรำ ยั่วยวน พระพุทธเจ้า    ภาพโดย ครูเหม  เวชกร

 4. ตัวเองได้ยกพลเต็มอัตราศึก เพื่อมาขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของ พระพุทธเจ้า การมาครั้งนั้น เป็นศึกที่ต้องจารึก ในประวัติศาสตร์ จนได้เกิด พระปางมารวิชัย หรือ ปางสะดุ้งมาร ที่เป็นรูปพระพุทธเจ้านั่งสมาธิมี มือข้างขวา วางอยู่ที่เข่าขวา

169842

กองทัพพระยามาร มุ่งเข้าทำร้าย พระพุทธเจ้า       ภาพโดย ครูเหม เวชกร

        ในที่สุดพระยามาร ก็ขอยอมแพ้ และได้กล่าวคำว่า “นโม” เป็นครั้งแรก ซึ่ง แปลว่า “ขอนอบน้อม” หรือ “ยอมแล้ว” พระยามาร ยอมรับการมาก่อนของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง และต่อมาเมื่อได้สนทนาธรรม ยิ่งเกิดความเลื่อมใส จนได้ขออนุญาต เพื่อบำเพ็ญเพียรเป็น พระพุทธเจ้า  ต่อไปในอนาคต.

0

บทวิเคราะห์

มารคืออะไร

มาร 5 (สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุผลสำเร็จอันดีงาม — the Evil One; the Tempter; the Destroyer)

1. กิเลสมาร (มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวางความดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต  — the Mara of defilement)

2. ขันธมาร (มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ 5 เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร   ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิเป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่  หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง  — the Mara of the aggregates)

3. อภิสังขารมาร (มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร  เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติ ชรา เป็นต้น  ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังขารทุกข์ — the Mara of Karma-formations)

4. เทวปุตตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่kมาร  เพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้  มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่กล้าเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้ — the Mara as deity)

5. มัจจุมาร (มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาสที่จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย — the Mara as death)

คัดมาจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์    (ป.อ. ปยุตฺโต)